วางโครงสร้าง IT ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
ในองค์กรธุรกิจไม่สามารถขาดระบบ IT ได้ เพราะโครงสร้าง IT ที่คุณเลือกใช้ อาจเป็นตัวชี้ชะตาความสำเร็จหรืออุปสรรคของการดำเนินงาน
การออกแบบโครงสร้าง IT ที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจและแผนการเติบโตในอนาคต แต่ก็มีองค์ประกอบพื้นฐานที่ทุกองค์กรควรมี ได้แก่:
ฮาร์ดแวร์ที่จำเป็น
- คอมพิวเตอร์ (PC)
- เครื่องสำรองไฟ (UPS) เพื่อให้พลังงานต่อเนื่อง
- อุปกรณ์ไร้สาย หรือรองรับการเชื่อมต่อไร้สาย
- เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกน เครื่องถ่ายเอกสาร และแฟกซ์ (สำหรับลูกค้าที่ต้องการใช้งานแบบดั้งเดิม) หรือเลือกเครื่อง All-in-One ที่รวมทุกฟังก์ชัน
- เซิร์ฟเวอร์ (หากไม่ได้เก็บข้อมูลทั้งหมดบนคลาวด์)
ระบบเครือข่ายที่จำเป็น
- ระบบสายเคเบิล
- อินเทอร์เน็ต
- ระบบอีเมล
- Firewall
- โปรแกรมป้องกันไวรัส
การติดตั้งระบบพื้นฐานต้องวางแผนงบประมาณ และตรวจสอบให้มั่นใจว่าสถานที่ทำงานสามารถรองรับอุปกรณ์และระบบเหล่านี้ได้
การจัดการระบบ IT
อีกหนึ่งการตัดสินใจสำคัญคือ การจัดการระบบ IT ซึ่งในธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางมักไม่มีงบสำหรับทีม IT เต็มเวลาในการดูแลเครือข่าย แอปพลิเคชัน หรือโครงการพิเศษ แต่การปล่อยให้ระบบทำงานไปโดยไม่มีการดูแลนั้น ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะหากเกิดปัญหา ธุรกิจอาจหยุดชะงักไปหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ด้วยเหตุนี้ หลายบริษัทจึงเลือก Outsource IT ในรูปแบบบริการ Software as a Service (SaaS), Platform as a Service (PaaS) และ Infrastructure as a Service (IaaS)
SaaS (Software as a Service)
คุณคงคุ้นเคยกับ SaaS อยู่แล้ว เช่น Facebook, LinkedIn, Twitter, Salesforce หรือ Google Apps ผู้ให้บริการจะดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่การอัปเดต การจัดเก็บข้อมูล เซิร์ฟเวอร์ ไปจนถึงความปลอดภัย สิ่งที่คุณต้องทำมีเพียงดาวน์โหลดและใช้งานแอป SaaS มักเกี่ยวข้องกับระบบอีเมล การทำงานร่วมกัน (Collaboration) ระบบ CRM และการบริหารสิทธิประโยชน์พนักงาน
สิ่งที่ควรระวังคือ Shadow IT เพราะเมื่อพนักงานดาวน์โหลดแอปพลิเคชันโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจทำให้ระบบที่ใช้อยู่ทำงานไม่ราบรื่น จึงควรให้ผู้ดูแล IT รับทราบแอปพลิเคชันทั้งหมดที่องค์กรใช้งาน
คำแนะนำ: ลงทุนในอุปกรณ์เครือข่ายประมาณ 20% ของต้นทุนเซิร์ฟเวอร์ เพื่อป้องกันปัญหาเครือข่ายช้า และควรใช้ระบบผสม Windows และ Mac เพื่อให้มีทางเลือกสำรองหากระบบหนึ่งถูกโจมตี
PaaS (Platform as a Service)
PaaS คือ บริการที่ผู้ให้บริการจัดเตรียมแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยจัดการทุกอย่างเบื้องหลังให้ ไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการ เซิร์ฟเวอร์ ซอฟต์แวร์ และโครงสร้างเครือข่าย นักพัฒนาจึงสามารถโฟกัสที่การสร้างผลิตภัณฑ์ได้เต็มที่ ตัวอย่างของ PaaS ได้แก่ Google App Engine และ OpenShift
PaaS ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ได้โดยไม่ต้องลงทุนด้านฮาร์ดแวร์และเครือข่ายทันทีจนกว่าจะพร้อมขยายการใช้งานจริงในวงกว้าง
IaaS (Infrastructure as a Service)
IaaS คือ บริการผ่านคลาวด์ที่ให้คุณใช้งานเซิร์ฟเวอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล เครือข่าย และระบบปฏิบัติการแบบ On-demand เหมาะอย่างยิ่งในช่วงที่ต้องการกำลังการประมวลผลเพิ่ม เช่น การรองรับช่วงเทศกาล หรือเมื่อธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็วแต่ยังไม่แน่ใจว่าความต้องการระยะยาวจะเป็นเท่าไร IaaS ช่วยให้คุณขยายระบบได้ทีละขั้น โดยไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ล่วงหน้า
คุณสามารถเลือกใช้ Public Cloud เช่น Amazon Web Services หรือ Microsoft Azure, Private Cloud สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ หรือแบบ Hybrid Cloud ที่ผสมผสานทั้งสองรูปแบบ ด้วยโมเดล “จ่ายตามการใช้งาน” IaaS จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในปัจจุบัน ธุรกิจมีทางเลือกที่หลากหลายและยืดหยุ่นกว่าที่เคยในการจัดการระบบ IT เมื่อวางระบบพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว องค์กรสามารถลองเลือกใช้บริการต่างๆ อย่าง SaaS, PaaS และ IaaS ในสัดส่วนที่เหมาะสม จนกว่าจะเจอรูปแบบการทำงานที่ลงตัวที่สุดสำหรับธุรกิจ
ที่มา: RICOH USA
News & Events
Keep up to date
- 19ส.ค.
ริโก้ เอเชียแปซิฟิก จับมือไมโครซอฟท์ เสริมศักยภาพบุคลากรให้พร้อมรับอนาคตด้วยเอไอ
- 30ก.ค.
ริโก้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่อยู่ในดัชนี ESG ทั้ง 6 รายการ สำหรับหุ้นญี่ปุ่นที่กองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐบาลญี่ปุ่น (GPIF) ใช้ในการลงทุน
- 25ก.ค.
ลงทะเบียนฟรี งานสัมมนาออนไลน์จากริโก้ หัวข้อ "Smart Integration of Cybersecurity"
- 24ก.ค.
การตอบสนองของริโก้ต่อการยกเลิกการใช้การยืนยันตัวตนแบบพื้นฐานใน Microsoft Exchange Online SMTP Authentication