ปลดล็อกศักยภาพสูงสุด: ยกระดับการทำงานด้วย AI
จุดประกายความสำเร็จด้วย AI
องค์กรที่ประสบความสำเร็จและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มักมีจุดร่วมที่สำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจน การมีส่วนร่วมของพนักงาน การปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว การกำหนดเป้าหมายที่ท้าทายควบคู่กับการควบคุมต้นทุน และการมุ่งเน้นนวัตกรรม สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความก้าวหน้า
ในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าองค์กรจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ต่างก็ต้องให้ความสำคัญกับการใช้ AI ในการทำงาน งานวิจัยชี้ว่า องค์กรที่ใช้ AI สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เหนือกว่าคู่แข่ง โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้สูงกว่า 1.5 เท่า ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสูงกว่า 1.6 เท่า และผลตอบแทนจากเงินลงทุนสูงกว่า 1.4 เท่า
การนำ AI มาใช้ในที่ทำงาน หมายถึงการผสานเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ากับกระบวนการต่างๆ เพื่อลดงานที่ซ้ำซากและทำให้เวิร์กโฟลว์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือสภาพแวดล้อมการทำงานที่คล่องตัว พนักงานมีเวลาในการทำงานเชิงกลยุทธ์ มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น และสร้างผลงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งเป็นเส้นทางสู่การเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างแท้จริง
การใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุดในองค์กร
การนำ AI และระบบอัตโนมัติไปใช้ได้จริง จำเป็นต้องเริ่มจากข้อมูลที่ดี มีโครงสร้าง และพร้อมใช้งาน แม้ดูเหมือนง่าย แต่หลายองค์กรยังเผชิญความท้าทายในการเปลี่ยนข้อมูลที่กระจัดกระจายหรือไร้โครงสร้าง ให้กลายเป็นข้อมูลที่ค้นหาและนำไปใช้ได้ โซลูชันเกี่ยวกับการจัดการเอกสารอัจฉริยะและเทคโนโลยีดึงข้อมูลขั้นสูง จึงกลายเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ด้วยเทคโนโลยีการจัดการเอกสารและการดึงข้อมูลด้วย AI องค์กรสามารถลดการป้อนข้อมูลด้วยมือ เพิ่มความแม่นยำและความถูกต้อง รวมถึงเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพด้านปฏิบัติการ ผลลัพธ์ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจทำงานได้คล่องตัวขึ้น แต่ยังยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว
ความสามารถในการเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันได้ จะเป็นกุญแจสำคัญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องจัดการข้อมูลและเอกสารจำนวนมาก เช่น การเงิน การประกันภัย การดูแลสุขภาพ การศึกษา การผลิต การค้าปลีก และภาครัฐ รวมถึงหน่วยงานสนับสนุนต่างๆ อย่างบัญชี แผนกทรัพยากรบุคคล และงานเอกสาร ก็สามารถเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้อย่างรวดเร็ว
สร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน
เมื่อองค์กรบริหารข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็สามารถขยายการใช้ AI ในที่ทำงานต่อไปได้อีกมาก มุ่งสู่การจัดการข้อมูลเข้าออกอย่างราบรื่น
หากยังไม่ได้ใช้งาน ลองพิจารณาเทคโนโลยีต่อไปนี้:
- แพลตฟอร์มเชื่อมโยงแบบ all-in-one ที่ไม่ขึ้นกับอุปกรณ์ ช่วยตรวจจับปัญหาได้แบบเรียลไทม์ พร้อมข้อมูลเชิงลึก
- โซลูชันด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่ผสาน AI
- Intelligent Business Platform ที่ช่วยอัตโนมัติ เช่น จัดการไปรษณีย์เข้าออก ธุรกรรมเคลม ฝ่ายบัญชี หุ่นยนต์ และระบบวิเคราะห์ข้อมูล
- ระบบจัดการเวิร์กโฟลว์เอกสารดิจิทัล แบบอัจฉริยะเพื่อเพิ่มความคล่องตัวของธุรกิจ
- งานต้อนรับและบริการลูกค้าสามารถปรับให้เป็นอัตโนมัติได้ ด้วยการใช้ขั้นตอนการทำงาน (Workflow) และกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้
- โซลูชัน low-code/no-code เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลข้อมูลภายในองค์กร
- ประเมินความพร้อมใช้งาน Microsoft Copilot (Microsoft Copilot Readiness Assessment)
- หุ่นยนต์ (Robotics) ที่เปิดประตูสู่นวัตกรรมและโอกาสใหม่ๆ
เสริมพลังทีมงานและผลลัพธ์ร่วมกัน
แม้โลกของเราจะก้าวเข้าสู่ยุคของ AI และล่าสุดกับ Generative AI (ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์) แต่ความสำคัญของมนุษย์ยังอยู่ไม่ไปไหน เราเดินทางมาถึงจุดที่ไม่อาจย้อนกลับไปสู่โลกที่ปราศจาก Generative AI ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะเมื่อทุกวันนี้มีแพลตฟอร์มชั้นนำที่เปิดให้เข้าถึงได้อย่างกว้างขวางและไม่มีค่าใช้จ่าย
Gartner® ให้ข้อมูลว่า การสร้างเนื้อหายังคงต้องอาศัยความพยายามของมนุษย์ในการจัดเก็บ จัดหมวด และสร้าง และ เกือบ 50% ของผู้ใช้ดิจิทัลนั้นรายงานว่าใช้ AI ในการค้นหาข้อมูลหรือสร้างเนื้อหาสำหรับอีเมล คำตอบ และเอกสาร
Generative AI ไม่ได้มาทำงานหนักให้เบาลงเท่านั้น แต่ช่วยให้พนักงานค้นหาความรู้ ทำงานได้เร็วและชาญฉลาดขึ้นอย่างมาก
McKinsey ระบุว่า ศักยภาพทางเศรษฐกิจจาก Generative AI สามารถผลักดันการเติบโตของผลผลิตแรงงาน (Labor Productivity) ได้ 0.1- 0.6% ต่อปี ถึงปี 2040 และสามารถเสริมศักยภาพพนักงานให้ใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นถึง 60–70% ของเวลาทำงานในวันนี้
งานที่เหมาะกับ Generative AI ได้แก่ การดูแลลูกค้า การตลาดและขาย วิศวกรรมซอฟต์แวร์ และ R&D เช่น chatbot, digital assistant, การสนับสนุนด้านการตลาด, ตรวจจับการฉ้อโกง (Fraud Detection) เป็นต้น เมื่อผสมผสานมนุษย์และระบบอัตโนมัติได้อย่างเหมาะสม ผลลัพธ์จะเกินความคาดหมาย
แผนปฏิบัติการเพื่อความสำเร็จ
การจะไปถึงประสิทธิภาพสูงสุดด้วย AI จำเป็นต้องมีการวิจัย การวางแผน การเตรียมความพร้อม และการจัดลำดับความสำคัญที่สอดคล้องกับงบประมาณและกลยุทธ์ ผู้นำธุรกิจควรเข้าใจการไหลของข้อมูลภายในองค์กร ทั้งขาเข้า กระบวนการ และขาออก การทำ IT Gap Analysis จะช่วยชี้ให้เห็นจุดที่ควรปรับปรุง และการจัดตั้งทีมโครงการที่ทำงานข้ามสายงาน โดยมีผู้บริหารระดับสูงให้การสนับสนุน จะช่วยให้การดำเนินการเกิดขึ้นได้จริง
เมื่อวิสัยทัศน์ เป้าหมายทางธุรกิจ และวัฒนธรรมองค์กรถูกปรับให้สอดคล้องกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือการเติบโตของรายได้และความสำเร็จที่จับต้องได้ ในทางตรงกันข้าม หากองค์กรไม่พร้อมที่จะปรับตัว ก็เสี่ยงที่จะหยุดนิ่งหรือเผชิญกับความล้มเหลวได้
ที่ริโก้ เรามีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมช่วยลูกค้าปลดล็อกศักยภาพการทำงานด้วย AI ทีมวิจัยและพัฒนาของเรามีผู้พัฒนา AI และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลกว่า 300 คน และมีโครงการนวัตกรรมร่วม (Co-Innovation) จำนวนมากที่ทำให้เราสามารถนำเสนอเทคโนโลยี AI เพื่อสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าได้อย่างแท้จริง หากคุณอยากรู้ว่าโซลูชันและบริการของริโก้ สามารถช่วยยกระดับธุรกิจของคุณได้อย่างไร เรายินดีที่จะพูดคุยไปกับคุณ
ที่มา: RICOH USA
News & Events
Keep up to date
- 19ส.ค.
ริโก้ เอเชียแปซิฟิก จับมือไมโครซอฟท์ เสริมศักยภาพบุคลากรให้พร้อมรับอนาคตด้วยเอไอ
- 30ก.ค.
ริโก้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่อยู่ในดัชนี ESG ทั้ง 6 รายการ สำหรับหุ้นญี่ปุ่นที่กองทุนบำเหน็จบำนาญของรัฐบาลญี่ปุ่น (GPIF) ใช้ในการลงทุน
- 25ก.ค.
ลงทะเบียนฟรี งานสัมมนาออนไลน์จากริโก้ หัวข้อ "Smart Integration of Cybersecurity"
- 24ก.ค.
การตอบสนองของริโก้ต่อการยกเลิกการใช้การยืนยันตัวตนแบบพื้นฐานใน Microsoft Exchange Online SMTP Authentication