การจัดการกระบวนการเอกสารและการสื่อสารภายใน–ภายนอกองค์กร: ควรทำเองหรือจ้างผู้เชี่ยวชาญภายนอก?
การเลือกว่าจะบริหารจัดการงานเอกสารและการสื่อสาร (Document & Communication Management) ภายในองค์กรเอง หรือจ้างผู้ให้บริการภายนอกนั้น ขึ้นอยู่กับลำดับความสำคัญขององค์กรคุณ ระหว่าง “การควบคุมและความยืดหยุ่น” กับ “การประหยัดต้นทุนและประสิทธิภาพการดำเนินงาน”
จะดีกว่าหรือไม่...หากคุณบริหารจัดการงานเอกสารและการสื่อสารด้วยตนเอง?
หรือจะเลือกมอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกดูแลแทน?
คำตอบอยู่ที่ว่า “อะไรคือสิ่งที่องค์กรของคุณให้ความสำคัญมากกว่า” การควบคุม การปรับแต่ง และความสอดคล้องกับระบบภายใน หรือ ความคุ้มค่า ความคล่องตัว และการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง
การเข้าใจความแตกต่างหลักระหว่างสองแนวทางนี้จะช่วยให้องค์กรของคุณเลือกกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์เป้าหมายได้อย่างเหมาะสมที่สุด
เจาะลึกแนวทาง “การบริหารจัดการงานเอกสารและการสื่อสารภายในองค์กร” (Insourcing)
การบริหารจัดการภายใน (Insourcing) หมายถึงการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร การจัดส่ง และกระบวนการสื่อสารทั้งหมดโดยทีมงานภายในองค์กร แทนที่จะส่งต่อให้ผู้ให้บริการภายนอก แนวทางนี้ช่วยให้องค์กรควบคุมทุกขั้นตอนได้อย่างใกล้ชิด และมั่นใจได้ว่ากระบวนการทั้งหมดสอดคล้องกับมาตรฐานและวัตถุประสงค์ของบริษัท
รูปแบบของการบริหารงานภายในมักประกอบด้วย
- การจัดตั้งศูนย์จัดการเอกสารและการสื่อสาร (Mail & Document Center) ภายในองค์กร
- การมีพนักงานเฉพาะทางสำหรับแยก จัดการ และกระจายข้อมูลหรือเอกสาร
- การใช้ระบบซอฟต์แวร์เพื่อบริหารงานและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการ
- องค์กรจำนวนมากยังเลือกใช้โซลูชัน Workflow Automation เพื่อยกระดับการติดตาม การรายงาน และการจัดการกระบวนการให้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กรและลูกค้าได้โดยตรง
ข้อดีของการบริหารจัดการภายในองค์กร ได้แก่
- เพิ่มการควบคุมด้านความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญ ลดความเสี่ยงจากการส่งต่อให้บุคคลที่สาม
- ลดค่าใช้จ่ายระยะยาว ด้วยการตัดค่าบริการภายนอกและเพิ่มประสิทธิภาพภายใน
- มีความยืดหยุ่นสูง ปรับเปลี่ยนและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์ธุรกิจ
ดังนั้น การเลือกจัดการงานเอกสารและการสื่อสารภายในองค์กรจึงเป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการ ควบคุมคุณภาพ และ ปรับปรุงประสิทธิภาพในระยะยาว
สำรวจอีกทางเลือก: “การบริหารจัดการโดยผู้ให้บริการภายนอก” (Outsourcing)
ในอีกแนวทางหนึ่ง การบริหารจัดการงานเอกสารและการสื่อสารด้วยผู้ให้บริการภายนอก หมายถึงการมอบหมายงานด้านการจัดการเอกสาร การพิมพ์ การจัดส่ง หรือกระบวนการสื่อสารให้กับผู้เชี่ยวชาญภายนอกดำเนินการแทน ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถโฟกัสกับธุรกิจหลักได้เต็มที่ ขณะเดียวกันก็ได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพของผู้ให้บริการมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นแบบ On-site Managed Services หรือ Off-site Services
การจ้างผู้ให้บริการภายนอกช่วยให้องค์กรเข้าถึง
- เทคโนโลยีที่ทันสมัยและระบบจัดการข้อมูลระดับมืออาชีพ
- กระบวนการทำงานที่เป็นมาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูง
- บุคลากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งองค์กรอาจไม่มีภายใน
มีรูปแบบการบริการให้เลือกหลายแบบ ตั้งแต่การจ้างแบบครบวงจร (Full Outsourcing) ไปจนถึงแบบผสมผสาน (Hybrid Model) ที่ใช้ทั้งทรัพยากรภายในและภายนอก ทำให้องค์กรสามารถปรับใช้ให้เหมาะกับลักษณะงาน เช่น การจัดการเอกสารจำนวนมาก งานพิมพ์เชิงธุรกิจ หรือการประสานด้านโลจิสติกส์
ข้อดีหลักของ Outsourcing ได้แก่
- ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดภาระด้านบุคลากร อุปกรณ์ และการบำรุงรักษา
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ด้วยเทคโนโลยีและแนวทางที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรม
- ลดความเสี่ยงด้านข้อมูลและกฎระเบียบ เนื่องจากผู้ให้บริการมีมาตรการควบคุมความปลอดภัยที่เข้มงวด
โดยรวมแล้ว การบริหารจัดการงานเอกสารและการสื่อสารแบบ Outsourcing ช่วยให้องค์กรได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในด้านประสิทธิภาพและความคุ้มค่า พร้อมเปิดโอกาสให้ทีมภายในมุ่งเน้นงานเชิงกลยุทธ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ
ข้อดีและข้อจำกัดของการบริหารจัดการภายใน (Insourcing)
ข้อดี:
- องค์กรสามารถควบคุมกระบวนการได้โดยตรง ปรับให้เหมาะกับนโยบายและวัฒนธรรมองค์กร
- ช่วยให้คุณภาพการบริการคงที่ เนื่องจากพนักงานเข้าใจมาตรฐานและความคาดหวังขององค์กร
- สามารถออกแบบบริการให้สอดคล้องกับเอกลักษณ์แบรนด์และความต้องการของลูกค้าได้เฉพาะตัว
ข้อจำกัด:
- ต้องลงทุนด้านบุคลากร อุปกรณ์ และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
- การจัดสรรทรัพยากรอาจเป็นภาระ โดยเฉพาะสำหรับองค์กรขนาดเล็ก
- อาจขาดความยืดหยุ่นในการรองรับปริมาณงานที่ผันผวนตามฤดูกาล
ข้อดีและข้อจำกัดของการจ้างผู้ให้บริการภายนอก (Outsourcing)
ข้อดี:
- ลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร การฝึกอบรม และการดูแลระบบภายใน
- เพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพ ด้วยทีมงานที่เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีล้ำสมัย
- ใช้มาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น ระบบคัดแยกอัตโนมัติ (Presort) ระบบตรวจสอบที่อยู่ (CASS) และระบบเปลี่ยนที่อยู่ (NCOA) เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
- เปิดโอกาสให้องค์กรมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจหลักและการดูแลลูกค้าได้มากขึ้น
ข้อจำกัด:
- การควบคุมคุณภาพอาจลดลง หากการดำเนินงานไม่สอดคล้องกับมาตรฐานองค์กร
- การพึ่งพาผู้ให้บริการภายนอกอาจสร้างความเสี่ยง หากเกิดการหยุดชะงักของระบบหรือกระบวนการ
- คุณภาพงานอาจไม่คงที่เท่ากับการดูแลโดยทีมงานภายใน
ความแตกต่างหลักระหว่าง Insourcing และ Outsourcing
ต้นทุน:
- Insourcing ต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และบุคลากร ทำให้มีต้นทุนคงที่สูงกว่า
- ขณะที่ Outsourcing มีความยืดหยุ่นกว่า ชำระตามการใช้งานจริง และปรับขนาดได้ตามความต้องการ
การควบคุมการทำงาน:
- Insourcing ให้องค์กรควบคุมกระบวนการได้เต็มที่ ปรับเปลี่ยนได้รวดเร็ว
- ส่วน Outsourcing ช่วยลดภาระงานแต่ต้องแลกกับการควบคุมที่ลดลงบางส่วน
คุณภาพและการบริการลูกค้า:
- Insourcing ช่วยสร้างความรับผิดชอบและคุณภาพที่สม่ำเสมอ
- ส่วน Outsourcing ช่วยเพิ่มความเร็วและความสามารถในการขยายบริการ แต่คุณภาพอาจขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ
จะเลือกแนวทางใดให้เหมาะกับองค์กรของคุณ?
การตัดสินใจเลือกระหว่าง Insourcing และ Outsourcing ต้องพิจารณาหลายปัจจัย เพื่อให้ได้แนวทางที่ตอบโจทย์องค์กรมากที่สุด
ประเมินขีดความสามารถภายใน:
- มีบุคลากร เทคโนโลยี และโครงสร้างพร้อมหรือไม่?
- หากทรัพยากรจำกัด การจ้างผู้เชี่ยวชาญภายนอกอาจช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพได้ดีกว่า
พิจารณาความต้องการทางธุรกิจ:
- หากองค์กรมีปริมาณงานเอกสารสูง หรือมีความซับซ้อนของกระบวนการ การใช้ Outsourcing จะช่วยลดภาระได้มาก
- แต่หากงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่เป็นความลับสูง ควรเลือก Insourcing เพื่อควบคุมอย่างใกล้ชิด
เทคโนโลยีคือหัวใจของการตัดสินใจ:
- หากองค์กรพร้อมลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ การจัดการภายในจะให้ความยืดหยุ่นมากกว่า
- แต่ถ้าไม่พร้อมลงทุน ระบบ Outsourcing จากผู้ให้บริการที่มีเทคโนโลยีครบวงจร จะช่วยลดภาระและเพิ่มประสิทธิภาพได้ทันที
สุดท้าย การเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุด ขึ้นอยู่กับศักยภาพขององค์กร ความต้องการทางธุรกิจ และเป้าหมายด้านเทคโนโลยีของคุณ เพื่อสร้างกระบวนการบริหารจัดการงานเอกสารและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในระยะยาว

ที่มา: RICOH USA
News & Events
Keep up to date
- 31ต.ค.
โซลาร์เซลล์ หรือเซลล์แสงอาทิตย์เพอรอฟสไกต์ของริโก้ ได้รับการติดตั้งบนยานขนส่งสัมภาระอวกาศ HTV-X1 ขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA)
- 17ต.ค.
ริโก้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน “องค์กรที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการทำงาน ปี 2025” โดยนิตยสารฟอร์บส์
- 19ก.ย.
ริโก้ได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสารไทม์ (TIME) ให้อยู่ในรายชื่อบริษัทที่ดีที่สุดในโลก ประจำปี พ.ศ. 2568 จากความโดดเด่นด้านการมีส่วนร่วมของพนักงาน การเติบโต และการดำเนินงานอย่างยั่งยืน
- 19ส.ค.
ริโก้ เอเชียแปซิฟิก จับมือไมโครซอฟท์ เสริมศักยภาพบุคลากรให้พร้อมรับอนาคตด้วยเอไอ